ชื่อในการร้องเพลง Ritchie Valens (เกิดเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2484 และเสียชีวิตเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2502 นามเมื่อตอนเกิดคือ Ricardo Esteban Valenzuela Reyes) เป็นนักร้องแนวร็อคแอนด์โรล นักแต่งเพลงและนักเล่นกีตาร์ชาวอเมริกันเชื้อสายเม็กซิกัน เป็นผู้บุกเบิกและวางรากฐานแนวเพลงร็อคแอนด์โรลแบบเม็กซิกันที่เรียกว่า Chicano Rock
อาชีพการร้องเพลงของริทชี่นั้นไม่น่าเชื่อว่ามีระยะเวลาสั้นเพียงแค่แปดเดือนเท่านั้น แต่ทว่าเป็นช่วงเวลาอันรุ่งโรจน์ ที่เพลงของเขาได้รับความนิยมมากหลายต่อหลายเพลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพลง "La Bamba" ซึ่งแต่เดิมเป็นเพลงตามแบบฉบับพื้นบ้านเม็กซิกัน ริทชี่เปลี่ยนแนวเพลงเสียใหม่ให้เป็นจังหวะร็อคสนุกสนาน จนกระทั่งกลายเป็นเพลงที่โด่งดังมากในปี 2501 ส่งผลให้ตัวเขาเป็นเผู้บุกเบิกเพลงร็อคแอนด์โรลในภาษาสเปนทันที
หากแต่สิ่งที่โศกเศร้าสลดที่สุดในวงการดนตรีก็ได้บังเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2502 ซึ่งเป็นวันที่เรียกขานกันว่า "เป็นวันแห่งดนตรีดับสิ้น" เมื่อเขาเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางเครื่องบินตก เมื่อเครื่องบินโดยสารขนาดเล็กที่เขาใช้เดินทางมานั้นเกิดเหตุเครื่องยนต์ขัดข้องตกลงใน Iowa โศกนาฏกรรมครั้งนี้มีนักดนตรีอื่นที่ร่วมเดินทางไปด้วยและเสียชีวิตพร้อมกันกับเขาได้แก่ Buddy Holly และ JP "Big Bopper" Richardson รวมอยู่ด้วย
ริทชี่ต่อมาได้รับการยกย่องให้เป็นศิลปินแนวร๊อคแอนด์โรลของทำเนียบหรือหอแห่งเกียรติยศ เมื่อปี 2544
ในวัยเยาว์
Ritchie Valens ริทชี่ แวเลนส เกิดใน Pacoima ซึ่งเป็นพื้นที่ชายแดนรอยต่อใกล้เคียงกับ San Fernando Valley มลรัฐ Los Angeles เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2484 บิดานามว่า Steven Valenzuela และมารดาคือนาง Reyes Concepcion
เมื่อยังเด็ก ริทชี่ผู้ซึ่งได้รับการเลี้ยงดูมาด้วยการได้ยินทั้งเพลงเม็กซิกันพื้นบ้านของเขา (mariachi), R&B และ blues รวมไปถึงการเล่นกีต้าร์ในแบบ flamenco ทำให้เขามุ่งความสนใจไปในการทำเพลงของเขาเอง แม้เมื่ออายุได้เพียง 5 ขวบเท่านั้น
เขาโชคดีมากที่พ่อของเขาให้การสนับสนุนส่งเสริมทางดนตรีให้เล่นกีต้าร์และแตรฝรั่ง และยังสอนกลองให้เขาด้วยตัวเอง บังเอิญวันหนึ่งเพื่อนบ้านมีโอกาสได้เห็นริทชี่ที่พยายามเล่นกีต้าร์ที่มีสายเพียงสองสายเท่านั้น เพื่อนบ้านคนนั้นจึงช่วยจัดการเรื่องสายให้เขาเสียใหม่และยังช่วยสอนริทชี่ในเรื่องการวางนิ้วมือบนคอร์ดสายกีต้าร์ ริทชี่แม้จะเป็นคนที่ถนัดซ้าย แต่ด้วยความกระตือรือร้นที่จะเรียนกีต้าร์ และเพื่อทลายกำแพงการเล่นดั้งเดิมที่เหมาะสำหรับคนที่ถนัดขวา เขาจึงพยายามหัดเรียนรู้การควบคุมการเล่นกีตาร์ด้วยมือซ้ายด้วยตนเอง เมื่อครั้งที่เขาเรียนอยู่ที่โรงเรียนมัธยม Pacoima Junior High School ความสามารถในการเล่นกีต้าร์ของเขาก็เป็นที่ประจักษ์แล้ว เมื่อเขานำมันไปที่โรงเรียนและเล่นเพลงให้เพื่อนๆของเขาฟังบนอัฒจันทร์ของโรงเรียน
เมื่ออายุได้สิบหกปี เขาได้รับเชิญให้เข้าร่วมแสดงดนตรีกับวงดนตรีท้องถิ่นที่มีชื่อว่า Silhouettes ในฐานะมือกีต้าร์ของวง ต่อมาเมื่อนักร้องนำของวงแยกตัวออกไป ริทชี่ จึงเข้ามาแทนที่การเป็นนักร้องนำด้วย
ในวันที่ 19 ตุลาคม ปี 2500 ริทชี่เริ่มเปิดการแสดงร่วมกับวงของเขาเป็นครั้งแรก นอกจากการแสดงดนตรีร่วมกับ Silhouettes แล้ว ริทชี่ยังเล่นดนตรีฉายเดี่ยวตามงานราตรีสโมสรและการสังสรรค์อื่นๆโดยทั่วไปอีกด้วย
ริทชี่นั้นประสบความสำเร็จทั้งในฐานะการเป็นนักร้องและนักดนตรีมือกีตาร์ ลักษณะประจำตัวของเขานั้นคือ มักจะชอบด้นเนื้อเพลงใหม่กันสดๆและเสริมเติมแต่งเนื้อเพลงในท่อน "ฮุก" ใหม่เวลาเอาเพลงดังมาขับร้องเล่น นี่เองเป็นลักษณะพิเศษเฉพาะตัวของเขา ที่คนฟังจะไม่ได้ฟัง หากเขาไปบันทึกเพลงที่ห้องอัดเสียงเพื่อจำหน่าย
ในเดือนพฤษภาคมปี 2501 Bob Keane เจ้าของและกรรมการผู้จัดการใหญ่ของค่ายเพลง Del - Fi ซึ่งเป็นค่ายเทปเพลงขนาดเล็กใน Hollywood ได้รับข้อมูลจากนักเรียนมัธยมโรงเรียน San Fernando คนหนึ่งที่ชื่อว่า Doug Macchia อันเกี่ยวกับนักร้องนักดนตรีวัยรุ่นจาก Pacoima นามว่า Richard Valenzuela
Bob Keane จึงแอบไปชมการแสดงของริทชี่ในรอบเช้าวันเสาร์ที่โรงภาพยนตร์ใน San Fernando และประทับใจกับการแสดงของเขา จึงเอ่ยปากเชิญเขาไปทำการคัดตัวที่บ้านของเขาเองที่ Silver Lake ใน Los Angeles ที่ซึ่งมีห้องสตูดิโอเล็ก ๆ อยู่ชั้นใต้ดิน
หลังจากวันคัดตัววันแรก Keane ตัดสินใจเซ็นสัญญากับริทชี่เพื่อเข้าสังกัดค่าย Del - Fi ณ วันที่ 27 พฤษภาคม 2501 และเลือกเอาชื่อริทชี่ และตัดบางพยางค์ในนามสกุลของเขาเพื่อให้สั้นลงเป็น Valens แทนเพื่อให้น่าสนใจและจดจำได้ง่ายขึ้น
เพลงหลายเพลงซึ่งภายหลังนำมาบันทึกใหม่ที่ค่ายเพลง Gold Star Studios ในฮอลลีวู๊ดนั้นแท้จริงแล้วผ่านการบันทึกเสียงเดโมที่ห้องอัดของ Keane มาแล้ว การเดโมนั้นส่วนใหญ่ริทชี่เพียงแต่ร้องเพลงคลอกับการเล่นเครื่องดนตรีกีตาร์ชิ้นเดียวเท่านั้น บางเพลงนำมาใส่เสียงกลองภายหลังบ้าง เทปเดโมเหล่านี้สามารถหาฟังได้ในอัลบั้มที่ Del-Fi ทำออกมาจำหน่ายในชื่ออัมบั้ม Richie Valens - The Lost Tapes นอกเหนือจากนี้ยังมีเพลง "Donna" ที่ค่ายเพลง Golden Star นำมาทำใหม่เพิ่มดนตรีเข้าไปให้ครบถ้วนสมบูรณ์ และบางเพลงที่อยู่ในอัลบั้มที่ใช้ชื่อว่า "Richie's Blues"
เมื่อริทชี่แต่งเพลงและทำเดโมกับ Keane ที่ห้องอัดในห้องใต้ดินมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง จน Keane ตัดสินใจว่าริทชี่นั้นได้เวลาที่เหมาะสมแล้วที่จะทำเพลงขึ้นมาจากเครื่องดนตรีครบวง ในกลุ่มนักดนตรีนี้ ยังมี Rene Hall และ Earl Palmer รวมอยู่ด้วย เพลงซิงเกิ้ลแรกที่อัดเสียงที่ค่ายเพลง Golden Star ในเดือนกรกฎาคม 2501
เมื่อถึงตอนนี้ริทชี่จึงได้ลาออกจากโรงเรียนมัธยมเพื่อทุ่มเทเวลาให้กับงานของเขาอย่างเต็มที่ Keane ทำรายการปรากฏตัวและการแสดงในรายการโทรทัศน์ให้เขาทั่วประเทศสหรัฐอเมริกา แต่ริทชี่ผู้ซึ่งกลัวการขึ้นเครื่องบิน (ช่างเหมือน Ricky Nelson เสียนี่กระไร พวกเขาคงมีลางสังหรณ์บอกเหตุล่วงหน้าให้ต้องกลัวเช่นนั้น แต่ก็เหมือนหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะงานอาชีพของพวกเขาที่จำเป็นต้องเดินทางตลอดเวลา ตามหมายกำหนดการที่ตึงตัวอย่างยิ่งจนใช้พาหนะเดินทางอย่างอื่นไมได้ จะไม่ทันเวลา) จากเหตุการณ์เครื่องบินสองลำชนกันเหนือสนามเด็กเล่นของโรงเรียนมัธยม Pacoima Junior High School ที่ทำให้พวกเพื่อนๆของเขาได้รับบาดเจ็บ และยังคร่าชีวิตเพื่อนเขาบางคนด้วย โชคดีที่คราวนั้นเขาลาหยุดเพื่อไปงานพิธีศพของคุณปู่ของเขา
ในที่สุดเขาประสบความสำเร็จในการเอาชนะความกลัวของเขามากพอที่จะเดินทางโดยเครื่องบิน ในการเดินทางครั้งแรกลงที่ Philadelphia ไปปรากฏตัวในรายการทางโทรทัศน์ของ Dick Clark ร่วมกับวงดนตรี American Bandstand เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม ซึ่งเขาร้องเพลงโชว์สำหรับรายการในวันนั้น "Come On, Let 's Go"
ในเดือนพฤศจิกายนริทชี่เดินทางไปฮาวายและแสดงดนตรีร่วมกับ Buddy Holly และ Paul Anka และยังมารู้ตัวเอาแทบจะนาทีสุดท้ายว่าอยู่ในรายชื่อนักร้องที่จะต้องแสดงการร้องเพลงร่วมในงานเฉลิมฉลองเทศกาลคริสต์มาสของดีเจที่ชื่อว่า Alan Freed ใน New York City ซึ่งต้องร้องเพลงร่วมกับนักร้องบางคนที่มีอิทธิพลอย่างยิ่งต่องานดนตรีของเขาเองรวมทั้ง Chuck Berry, Bo Diddley, Everly Brothers, Duane Eddy, Cochran Eddy และ Jacky Wilson ในวันที่ 27 ธันวาคม ชาวอเมริกันจึงได้มีโอกาสเห็นเขาร้องเพลง "Donna" ร่วมกับวง "American Bandstand" อีกครั้ง
เมื่อเขากลับไปยัง Los Angeles ริทชี่ไปแสดงภาพยนตร์ของ Alan Freed ในภาพยนตร์ที่ชื่อ Go Johnny! Go ในเรื่องเขาจะต้องปรากฏตัวในร้านอาหารมื้อเย็น และร้องเพลง "Ooh! My Head" โดยใช้ Gretsch กีต้าร์ที่ยืมมาจาก Eddie Cochran
ตลอดชีวิตการร้องเพลง ริทชี่กลับไปยัง Gold Star หลายครั้ง เพื่อทำการบันทึกการร้องเพลงที่ต่อไปจะรวมอยู่ในอัลบั้มทั้งสองชุดของเขา ในช่วงต้นปี 2502 ริทชี่เดินทางไป Midwest เพื่อเดินสายเล่นดนตรีร็อคแอนด์โรลในรายการ "Winter Dance
Party" นักดนตรีที่เดินทางไปกับเขาด้วยประกอบด้วย Buddy Holly กับวงเล่นดนตรีสนับสนุนของเขาประกอบด้วยสมาชิกวง Tommy Allsup มือกีต้าร์, Waylon Jennings มือเบส, และ Carl Bunch มือกลอง; Dion and the Belmonts ; JP "Big Bopper" Richardson และ Frankie Sardo ด้วยเหตุที่ผู้ร่วมแสดงในเหตุการณ์วันนั้นไม่มีผู้ใดมีวงดนตรีสนับสนุน ดังนั้น วงดนตรีเล่นสนับสนุนของ Buddy Holly จึงช่วยเล่นให้ตลอดรายการ
การแสดงในวันนั้นทำให้ศิลปินต่างย่ำแย่กันไปตามๆกัน เนื่องจากการเดินทางด้วยรถบัส ประกอบกับสภาพอากาศหนาวเย็นจัดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ทำให้ Carl Bunch ถูกหามส่งโรงพยาบาลด้วยภาวะเท้าเย็นเฉียบพลันจากอากาศเย็นอันทารุณ คนอื่นๆก็เป็นไข้หวัดกัน ไม่เว้นแม้แต่ริทชี่และ The Big Bopper รายการแสดงแบ่งออกเป็นสองช่วง ริทชี่จะเป็นผู้ปิดรายการแสดงช่วงแรก เมื่อ Bunch จำต้องเข้าโรงพยาบาล สมาชิกคนหนึ่งของวง The Belmonts ซึ่งพอเล่นกลองได้ (Carlo Mastrangelo) จึงรับทำหน้าที่นี้แทน แต่ขณะวง Dion and The Belmonts เล่นดนตรี ทั้ง ฺBuddy Holly และริทชี่ก็สลับมาทำหน้าที่เล่นกลองให้กับวงนี้แทน มีภาพสีประวัติศาสตร์ที่ถ่ายขณะเขาเล่นกลองในรายการแสดงนี้ด้วย
การเสียชีวิต
หลังจากวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ปี 2502 ที่ริทชี่เดินสายทางดนตรี ที่ Clear Lake, Iowa ทั้ง Holley, Richardson, และริทชี่ ก็รีบเดินทางออกจากสนามบิน The Mason City โดยเครื่องบินโดยสารขนาดเล็กที่ Holley ทำการเช่าเหมาลำมา เครื่องบินรุ่น Beechcraft Bonanza ซึ่งมีระวางบรรทุกผู้โดยสารได้สี่คน ออกเดินทางมุ่งตรงไปยัง Fargo, North Dakota หลังจากเครื่องบินบินขึ้นได้ไม่นาน ก็เกิดการระเบิดขึ้นท่ามกลางพายุหิมะที่โหมกระหน่ำ อุบัติเหตุคร่าชีวิตผู้โดยสารทั้งสามคนรวมถึงนักบิน ริทชี่ขณะตายอายุได้เพียง 17 ปีเท่านั้น ถือเป็นผู้ที่อายุน้อยที่สุดจากอุบัติเหตุเที่ยวบินครั้งนั้น จากเหตุการณ์นี้ ทำให้นักร้อง Don McLean เกิดแรงบันดาลใจแต่งเพลงและขับร้อง ที่มีชื่อเสียงมากในชื่อว่า "American Pie" เปรียบวันที่ 3 กุมภาพันธ์ว่าเป็น "The Day the Music Died วันที่ดนตรีดับสิ้น"
ตำนาน
ริทชี่เป็นผู้บุกเบิกร็อคแนว Chicano หรือลาตินร็อค และยังเป็นแรงบันดาลใจให้นักดนตรีหลายคนในมรดกทางศิลปะวัฒนธรรมลาติน เขายังมีอิทธิพลต่อศิลปินเชื้อสายลาตินรุ่นต่อมา อาทิเช่น Los Lobos, Los Lonely Boys, Carlos Santana และคนอื่น ๆ อีกนับไม่ถ้วนในช่วงเวลาที่เพลงลาตินอเมริกันร็อคและเพลงป๊อบยังมีไม่มากนัก เขาจึงถือเป็นนักร้องที่ประสบความสำเร็จในการทำเพลงลาตินข้ามไปเป็นร็อคได้เป็นครั้งแรก
เพลง "La Bamba" ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นเพลงที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดของเขาไม่เพียงแต่เป็นพ๊อพที่ได้รับความนิยมสูงในเหล่าประเทศที่ใช้ภาษาสเปนเท่านั้น แต่ยังประสบความสำเร็จเนื่องจากการผสมเพลงแบบลาตินอเมริกันเข้ากับร็อค ซึ่งเขาเป็นผู้บุกเบิกและเป็นแรงบันดาลใจให้นักร้องหลาย ๆ คนภายหลังการตายของเขา ศิลปินเชื้อสายลาตินรุ่นต่อมาเช่น Selena, Caifanes, Café Tacuba, Circo, El Gran Silencio, Aterciopelados, Gustavo Santaolalla นำเอาวิธีการของเขามาประยุกต์ใช้กับเพลงของพวกเขา ในเพลงแบบลาตินผสมผสาน ความจริงที่น่าขันคือครอบครัวของริทชี่พูดคุยกันโดยใช้เฉพาะภาษาอังกฤษที่บ้านและริทชี่เองก็รู้ภาษาสเปนน้อยมาก หากแต่เรียนรู้การร้องเนื้อเพลงของ "La Bamba" จากท่องจำคำอ่านของเพลงในภาษาสเปนเท่านั้น
เพลง "Come on, Let 's Go" ถูกนำมาขับร้องใหม่โดย Los Lobos และขับร้องร่วมกันโดย The Ramones เป็นผู้เล่นดนตรี และ "The Paley Brothers" เป็นผู้ขับร้อง รวมไปถึง Tommy Steele, The Huntingtons, The McCoys และ Johnny Rebb and his Rebels ของประเทศออสเตรเลีย
เพลง "Donna" ถูกนำมาขับร้องใหม่โดยศิลปินในแนวหลากหลายเช่น MxPx, Cliff Richard, The Youngbloods, Clem Snide, Cappadonna และ The Misfits ท่ามกลางนักร้องอื่นๆอีกมากมาย
Robert Quine ยังกล่าวชื่นชมการเล่นกีต้าร์ของริทชี่ที่ซึ่งมีผลต่อสไตล์เพลงในช่วงต้นของเขาด้วย ศิลปินที่แสดงความชื่นชอบผลงานของริทชี่มาก ก็มี Romero, Carlos Santana, Chris Montez, Los Lobos, และ Los Lonely Boys
No comments:
Post a Comment