Paul Albert Anka เกิดเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2484 เป็นทั้งนักร้อง นักแต่งเพลง และนักแสดงชาวอเมริกันเชื้อสายแคนาเดี้ยน Paul ถือเป็นไอดอลวัยรุ่นยุคแรกๆที่มีเพลงฮิตเช่น "ไดแอนน่า Diana", "Lonely Boy " และ "Put Your Hand on My Shoulder" ในปลายปีพ.ศ. 2493 และ 2503
เขายังแต่งเพลงที่รู้จักกันดีอาทิเช่น เพลงธีมสำหรับ The Tonight Show ที่นำแสดงโดย Johnny Carson และเพลง "She 's a Lady" ซึ่งขับร้องโดย Tom Jones และเป็นเพลงที่ได้รับความนิยมมากที่สุดเพลงหนึ่งของเขา ไปจนกระทั่งถึงบทเพลงประจำตัวของ "Frank Sinatra" อันโด่งดังอมตะ ที่ชื่อว่า "My Way" ในปี 2526 เขายังร่วมเขียนบทเพลงกับ Michael Jackson ในชื่อเพลง "I Never Heard" ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อและเปิดตัวในปี 2552 ภายใต้ชื่อ "This Is It" เพลงนอกเหนือจากนี้ที่พอลแต่งร่วมกับ Michael Jackson ในระหว่างปี 2526 ก็ยังมี "Love Never Felt So Good" เป็นเพลงที่เพิ่งจะค้นพบและจะวางจำหน่ายในอนาคตอันใกล้นี้ เพลงนี้ความจริงแล้วเคยนำมาขับร้องก่อนแล้วโดย Johnny Mathis ในปี 2527 Paul ปัจจุบันแปลงสัญชาติเป็นอเมริกันแล้วเมื่อปี 2533
Paul เกิดใน Ottawa , Ontario ในแคนาดา เป็นบุตรชายของนาย Andy และ นาง Camelia Anka ผู้ซึ่งอพยพจาก ประเทศเลบานอน พวกเขาเป็นเจ้าของร้านอาหารชื่อ Locanda เมื่อยังเด็กเขาร้องเพลงกับโบสถ์ St. Elias Antiochian Orthodox ซึ่งเป็นคณะนักร้องประสานเสียงภายใต้การกำกับดูแลของ Frederick Karam ผู้ซึ่งประสาทวิชาทางทฤษฎีดนตรีให้กับเขา นอกจากนี้เขายังศึกษาเปียโนกับ Winnifred Rees อีกด้วย
Paul ได้รับการบันทึกเพลงซิงเกิ้ลของเขาครั้งแรกที่ชื่อ "I Confess" เมื่อขณะอายุ 14 ปี ต่อมาเขาเดินทางไป นิวยอร์กซิตี้ เพื่อทำการคัดตัวจาก Don Costa ที่ ABC เมื่อปี 2500 และร้องเพลง "Diana" ซึ่งเป็นเพลงที่เชื่อกันว่าน่าจะเป็นเพลงรักที่มีต่ออดีตพี่เลี้ยงเด็กของเขาเอง ครั้นมาในปี 2548 จากการให้สัมภาษณ์กับ Terry Gross ที่ NPR เขากล่าวว่า Diana เป็นเพียงหญิงสาวที่เจอกันที่โบสถ์คริสตจักร ผู้ซึ่งเขาเองแทบจะไม่ได้รู้จักเธอเลย เพลง "Diana" นั้นส่งผลให้ Paul กลายเป็นดาราดาวรุ่งในทันที เพลงได้รับความนิยมในอันดับหนึ่งทั้งในสหรัฐและแคนาดา
เพลง "ไดแอนน่า Diana" จัดว่าเป็นหนึ่งในเพลงซิงเกิ้ลขายดีที่สุดตลอดกาลนับจากการบันทึกเพลงโดยศิลปินชาวแคนาดาทั้งหมด นอกจากนี้เขายังนำเอา 4 บทเพลงต่อมาเข้าสู่ Top 20 ในปี 2501 รวมไปถึงเพลง "It's Time to Cry" ซึ่งทำอันดับได้ที่ 4 และ "(All of a Sudden) My Heart Sings" อันดับที่ 15 นั่นเองจึงส่งผลให้เขาเป็นไอดอลวัยรุ่นผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในลำดับที่ 17 ในขณะนั้นทันที
เขาออกเดินสายการแสดงทางดนตรีในสหราชอาณาจักร และตามด้วยประเทศออสเตรเลียที่ซึ่งเขาร่วมแสดงดนตรีกับ Buddy Holly Paul ยังแต่งเพลงให้ Buddy Holly ชื่อเพลง "It Doesn't Matter Anymore" เพลงซึ่ง Holly บันทึกเสียงก่อนที่เขาจะเสียชีวิตในปี 2502 ได้ไม่นาน Paul กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า "เพลง "It Doesn't Matter Anymore" ได้กลายมาเป็นเพลงเศร้าแนวประชดประชันเสียแล้ว เมื่อต้องมาคิดว่าเพลงนี้อาจจะช่วยดูแลครอบครัวของ Buddy Holly ต่อไปได้บ้าง ตัวเขาเต็มใจมอบลิขสิทธิ์ในด้านการแต่งเพลงนี้ให้กับภรรยาม่ายของ Holly ซึ่งเป็นเรื่องที่เขาควรช่วยอย่างที่ควรจะทำได้"
พรสวรรค์ของเขายังชักนำเขาต่อไปในด้านการแต่งเพลง รวมถึงเพลงธีมสำหรับรายการ The Tonight Show ซึงมีตัวเอก Johnny Carson แสดงนำ (นำมาเรียบเรียงขึ้นใหม่โดย Annette Funicelloในปี พ.ศ. 2505 ในชื่อว่า "It's Really Love"จากเดิมที่ Paul แต่งเพลงนี้ภายใต้ชื่อ "Toot Sweet" ขึ้นในปี 2502) Paul แต่งเพลงให้ศิลปิน Tom Jones ชื่อเพลง "She's a Lady" และยังเขียนเนื้อเพลงภาษาอังกฤษ "My Way" ให้กับ Frank Sinatra ซึ่งเป็นเพลงที่ศิลปินที่รู้จักกันดีมากหลายคนนำมาขับร้องต่อๆมา
ในทศวรรษที่ 2503 Paul เริ่มงานการแสดงในภาพยนตร์รวมทั้งการแต่งเพลงให้กับบทภาพยนตร์นั้นๆด้วยให้กับพวกเขามากที่สุดโดย ที่มีชื่อเสียงมากเรื่องหนึ่งคือเรื่อง "The Longest Day" เรื่องที่เขาร่วมแสดงด้วยเป็นเจ้าหน้าที่ทหารสหรัฐ เพลงที่เขาแต่งเพื่อใช้สำหรับงานด้านภาพยนตร์และได้รับความนิยมมากที่สุดนั้น ต้องนับรวมเอาเพลง "Lonely Boy" และ "My Home Town" (อยู่ในอันดับที่ 8 ของเพลงพ๊อพยอดนิยม) เข้าไปด้วย ซึ่งเป็นงานภายในปีเดียวกัน นอกจากนี้แล้ว เขาก็ยังเป็นหนึ่งในนักร้องเพลงพ๊อพรุ่นแรกที่มีโอกาสเปิดการแสดงที่ คาสิโนลาสเวกัส Paul เดินทางกลับบ้านไปยังแคนาดาหลายครั้งต่อปีเป็นประจำเพื่อการแสดงดนตรีในคาสิโน Fallsview ที่น้ำตก Niagara ออนตาริโอ ประเทศแคนาดา
ในปี 2503 เขาได้ปรากฏตัวในละครโทรทัศน์ถึงสองครั้ง โดยแสดงเป็นตัวเขาเองในละครสั้นเชิงอาชญนิยายของ เอ็นบีซี เรื่อง Crime Drama Dan Raven นำแสดงโดย Skip Homeier และอีกตอนในเรื่อง The Sunset Strip ของ West Hollywood
Paul ที่สตอกโฮล์ม |
Paul เซ็นสัญญาในปี 2503 กับ RCA Records แต่ก็เป็นเช่นเดียวกับศิลปินของทวีปอเมริกาเหนือส่วนใหญ่ที่ผลงานสะดุดลงจากการบุกของแนวดนตรีจากสหราชอาณาจักรในช่วงนั้น Paul จึงใช้เวลาส่วนใหญ่เล่นเพลงแนวผู้ใหญ่ร่วมสมัยและใช้มาตรฐานของวงดนตรีใหญ่แสดงเป็นประจำที่ลาสเวกัส ในช่วงต้นปี 2517 เขาเซ็นสัญญาทำเพลงกับ Buddah Records หลังจากนั้นจึงห่างหายไปจากวงการมากกว่าสิบปีโดยไม่มีเพลงยอดนิยมเลย ในที่สุด เขาเปลี่ยนมาทำสัญญากับ United Artists และร่วมงานกับ Odia Coates ในปี 2517 ทำเพลงขึ้นสู่อันดับ 1 อึกครั้งด้วยเพลง (You're) Having My Baby ตามมาด้วยเพลง duets อีก 2 เพลงที่สามารถเข้าสู่ Top 10 ได้นั่นคือเพลง I Don't Like to Sleep Alone (อันดับที่ 8) และ One Man Woman/One Woman Man (อันดับที่ 7) ในปี 2522 เขาได้ร้องเพลงจิงเกิ้ลให้กับ Kodak ซึ่งเพลงนี้แต่งเนื้อร้องโดย Bill Lane และทำนองโดย Roger Nichols ในชื่อเพลงว่า Times of Your Life ต่อมามันกลายเป็นที่นิยมจนทำให้ Paul นำมาบันทึกเป็นเพลงเต็มออกจำหน่าย และเพลงก็สามารถไต่ขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ 7 ของสหรัฐได้ในปี 2523
เพลงในชาร์ตเพลงยอดนิยม 40 อันดับที่ Paul ทำได้จนติดอันดับเป็นครั้งสุดท้ายนั้น คือเพลง Hold Me Til Mornin' Comes ที่เปิดตัวครั้งแรกในช่วงฤดูร้อนของปี 2526 ซึ่งมีเสียงร้องสนับสนุนจากอดีตสมาชิกของวง Chicago ที่ชื่อ Peter Cetera อัลบั้มของเขาในปี 2532 ชื่อว่า A Body of Work เป็นงานอัดในสตูดิโอที่สหรัฐเป็นครั้งแรกของเขาและวางจำหน่ายในสหรัฐ นับตั้งแต่อัลบั้ม Walk a Fine Line ในปี 2526 มีเสียงของนักร้องและนักแสดงรวมถึง Celine Dion, Kenny G, Patti LaBelle และ Skyler Jett ร่วมในผลงานชุดนี้ด้วย
วันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2533 เขาได้รับสิทธิการเป็นพลเมืองแปลงสัญชาติของสหรัฐอเมริกา และในปี 2548 ภายใต้การใช้วงดนตรีวงใหญ่และการจัดการร่วมสมัยตามมาตรฐานที่ดีทำให้อัลบั้มที่ใช้ชื่อว่า Rock Swings ได้แสดงให้เห็นงานเพลงที่พัฒนาการอันโดดเด่นของ Paul จนเขาได้รับการเชิดชูยกย่องให้เป็นนักร้องเกียรติยศของหอแห่งเกียรติยศดาราของแคนาดา ที่อยู่ ณ เมืองโตรอนโต้
เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม ปี 2552 Paul กล่าวว่า Michael Jackson ที่กำลังคิดทำเพลงใหม่ในชื่อว่า "This Is It" นั้น เพลงเป็นผลงานอันเกิดจากความร่วมมือระหว่างสองนักดนตรีซึ่งหมายรวมทั้งตัวเขาเองด้วยที่เป็นผู้ร่วมแต่งเพลงนี้ขึ้นในปี 2526 ตามที่ Paul กล่าวอ้างนั้น ภายหลังจากการบันทึกเพลง Michael Jackson ตัดสินใจที่จะไม่ใช้งานเพลงนี้ ทำให้เพลงที่ปรับแต่งและได้รับการบันทึกออกมาแล้ว ปล่อยออกไปให้กับนักร้องนามว่า Sa Fire Paul ยังขู่ที่จะฟ้อง Michael Jackson ในเรื่องของเครดิตและลิขสิทธิ์เพลงร่วมกัน ทางผู้บริหารของไมเคิลเอสเตทจึงตัดสินใจเสนอค่าลิขสิทธิ์ตอบแทนร้อยละห้าสิบให้กับเขา เพลงร่วมแต่งเพิ่มเติมกับ Jackson ในปี 2526 อีกเพลงหนึ่งในชื่อเพลงว่า "Love Never Felt So Good" ถูกค้นพบหลังจากนั้นไม่นานและคาดว่าจะวางจำหน่ายในอนาคตอันใกล้นี้
แม้ว่า Paul จะเป็นไอดอลวัยรุ่นอยู่ที่มีชื่อเสียงอยู่แล้วในประเทศในเพลงของเขาแบบฉบับภาษาอังกฤษ หากในปี 2503 Paul พยายามที่จะตีตลาดอิตาลีด้วยเพลง "Summer's Gone" พร้อมทั้งเปิดตัวเพลง "Dove Sei?" ที่มีเนื้อเพลงเป็นภาษาอิตาลี เพลงขึ้นสู่ความสำเร็จในทันทีในรายการเพลงอันดับยอดนิยม เป็นอันดับที่ 4 ของอิตาลี เปิดแนวทางที่มีแนวโน้มสดใสให้กับเขาในต่างประเทศ Paul ยังได้มีโอกาสร่วมงานกับนักดนตรีชาวอิตาลี ณ เวลานั้น ซึ่งรวมทั้งนักแต่งเพลง/ผู้อำนวยการนามว่า Ennio Morricone, นักร้อง/นักแต่งเพลงชื่อ Lucio Battisti และผู้แต่งเนื้อร้องนาม Mogol
มีรายงานอย่างเป็นทางการว่ามีเพลงทั้งหมด 9 เพลงที่เขาบันทึกเพลงกับอาร์ซีเออิตาลี แต่ก็มีชาร์ตเพลงของอิตาลีที่รายงานว่ามีเพลงอื่น ๆ อีกอย่างน้อยหกเพลงที่เขาแปลงหรือบันทึกเพลงในภาษาอิตาลีด้วย เพลงที่ได้รับความนิยมคือเพลง "Ogni giorno" ซึ่งได้คะแนนมาเป็นอันดับ 1 ในปี 2505 ตามมาด้วยเพลง "Piangerò Perte" และ "Ogni Volta", ในอันดับที่ 2 ทั้งสองเพลงในปี 2506 และ 2507 ตามลำดับ "Ogni Volta" ("แปลว่า Every Time เป็นภาษาอังกฤษ") ซึ่งขับร้องโดย Paul ในช่วงเทศกาล di San Remo ประจำปี 2507 ทำยอดจำหน่ายกว่าหนึ่งล้านแผ่นเฉพาะในอิตาลี และยังได้รับรางวัลแผ่นเสียงทองคำอีกด้วย
No comments:
Post a Comment