บีจีย์ส I Started a Joke
บีจีย์สเป็นกลุ่มวงดนตรีที่เกิดจากการรวมตัวกันของพี่น้องสามคนคือ Barry, Robin และ Maurice Gibb ซึ่งเป็นทรีโอที่ประสบความสำเร็จในอาชีพตลอดช่วงอายุมากกว่าสี่สิบปี แต่วงมีสองช่วงของความสำเร็จที่โดดเด่นเป็นพิเศษคือช่วงความเป็นฮาร์โมนิซอฟท์ร็อค ในช่วงปลายทศวรรษปีพ.ศ. 2503 ถึงต้น 2513 และยุคขับเคลื่อนสำคัญของเพลงดิสโก้ ในปลายทศวรรษ ปี 2513 ที่ต่อเนื่องมา
เป็นวงที่่ทั้งสามร้องเพลงประสานกันได้ดีเด่นไม่น้อยหน้ากัน ทำให้เกิดปรากฏการณ์เพลงที่่แบ่งได้เป็นสามแบบ และคนฟังยังจดจำเสียงของแต่ละคนได้ในทันที
Robin นั้นเสียงร้องนำของเขาพริ้วกังวาลโดดเด่นมาก เปรียบเสมือนเครื่องหมายรับรองของความสำเร็จในยุคแรกๆ ของพวกเขา ในขณะที่ Barry ร้องในแนวเสียงที่สูงแหลมแบบอาร์แอนด์บี จนกลายเป็นเสียงลายเซ็นของวงในช่วงปี 2513 และ 2523 พี่น้องร่วมช่วยกันแต่งเพลงที่ได้รับความนิยมนั้นขึ้นเอง รวมทั้งการแต่งเพลงและผลิตงานเพลงให้กับศิลปินแถวหน้าอื่น ๆ ทำให้เกิดเพลงฮิตยอดนิยมติดหนึ่งในสิบของอันดับยอดนิยมของอเมริกาตามมาต่อเนื่องถึงห้าทศวรรษ ดังเช่น "I've Gotta Get Message from You", "I Started a Joke" (2503), "Night in Broadway", "How Deep is Your Love", "Stayin' Alive"(2513), "Word" (2523), " Alone" (2533) และ "This is Where I Came In" (2543)
พี่น้องทั้งสามเกิดจากครอบครัวชาวอังกฤษที่ Isle of Man ประเทศอังกฤษ และอาศัยอยู่เพียงไม่กี่ปีก่อนจะย้ายตามบิดา Huge Gibb กลับไปยังบ้านเกิดของเขาที่ Chorlton, แมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ จากนั้นในปี 2493 จึงอพยพไปยัง เมืองบริสเบน, ควีนสแลนด์, ออสเตรเลีย ซึ่งในที่สุดพวกเขาก็เริ่มอาชีพดนตรีที่นั่น หลังจากประสบความสำเร็จที่ออสเตรเลียด้วยเพลง "Spicks and Specks" (งานเพลงซิงเกิ้ลลำดับที่ 12 ของพวกเขา) วงก็กลับไปยังสหราชอาณาจักรในเดือนมกราคม 2510 ที่ซึ่ง Robert Stigwood ผู้อำนวยการผลิตเพลง ช่วยผลักดันส่งเสริมสู่ผู้ฟังทั่วโลก นับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
มีการประเมินกันว่า 'บีจีย์ส' สามารถทำยอดขายรวมได้มากกว่า 200 ล้านแผ่นทั่วโลก ทำให้พวกเขาเป็นหนึ่งในศิลปินที่ได้รับความนิยมมากที่สุดตลอดกาล วงยังได้รับเกียรติยศให้จารึกในทำเนียบหรือหอแห่งเกียรติยศเป็นศิลปินแนวร็อคแอนด์โรลในปี 2540 ผู้มอบรางวัล "The First Family of Harmony ที่มาจากครอบครัวชาวอังกฤษ" ก็คือ Brian Wilson ซึ่งเป็นนักร้องนำวง The Beach Boys วงดนตรีแนวร็อคชื่อดังของอเมริกา และยังถือเป็นรางวัลสำหรับครอบครัวที่เกิดจากพี่น้องทั้งสาม ที่มีเสียงร้องประสานที่เป็นที่สุดและยั่งยืนแห่งยุค" ในจารึกที่ทำเนียบของบีจีย์ส มีคำนิยมซึ่งมีใจความว่า "มีเพียงแต่ศิลปิน Elvis Presley, The Beatles , Michael Jackson , Garth Brooks และ Paul McCartney เท่านั้นที่มียอดจำหน่ายเพลงมากกว่า บีจีย์ส"
การตายของ Maurice อย่างปัจจุบันทันด่วนเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2546 ทำให้ Barry และ Robin Gibb ตัดสินใจสลายวงหลังจากการโลดแล่นทางเส้นทางดนตรีมากว่าสี่สิบห้าปี อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้น 6 ปี เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2552 Robin ประกาศว่าเขาและ Barry ตกลงที่จะปฏิรูป บีจีย์ส และกลับมาร้องเพลงร่วมกันในนามวงอีกครั้ง
ในวัยเยาว์
Barry Gibb คนพี่่ (เกิดเมื่อปี 2489 ) และคู่แฝดพี่น้อง Robin และ Maurice Gibb (เกิดเมื่อปี 2492) เกิดบน Isle of Man ประเทศอังกฤษ และครอบครัวก็ย้ายตามบิดา, Huge Gibb, กลับไปยังบ้านเกิดเมืองนอน ที่ Chorlton คาบเกี่ยวกับ Hardy, แมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ
ในช่วงต้นทศวรรษ 2493 พวกเด็กๆเริ่มร้องเพลงประสานเสียงกันแล้ว ครั้งหนึ่งพวกเขาจะต้องไปร้องเพลงลิปซิงค์ ที่โรงภาพยนตร์ Gaumont ของท้องถิ่น (ตามที่เด็กคนอื่น ๆ ทำกันในยุคสมัยนั้น) ขณะที่เด็กๆวิ่งไปที่โรงภาพยนตร์ นั้นเอง Maurice ได้ทำแผ่นเสียงบันทึกเพลงตกและเนื่องจากแผ่นเสียง RPM 78 ในยุคสมัยนั้นทั้งหนักและเปราะ ดังนั้นมันจึงแตกเสียหาย และเมื่อไม่มีแผ่นเสียงเสียแล้ว พวกเด็กๆ จึงต้องร้องสดและได้รับการตอบรับจากผู้ชมเป็นอย่างดี ทำให้พวกเขาตัดสินใจที่จะร้องเพลงยึดเป็นอาชีพ
ในปีพ.ศ. 2502 ครอบครัว Gibb รวมทั้งเด็กชายทารกคนน้องสุดท้อง แอนดี้ , อพยพไปตั้งรกรากอยู่ ใน Redcliffe, รัฐควีนส์แลนด์ ออสเตรเลีย พี่น้องซึ่งยังคงเด็กมาก ณ ตอนนั้น เริ่มร้องเพลงเพื่อหาเงินเป็นค่าขนม ครั้งแรกเรียกชื่อวงว่า The Rattlesnakes ต่อมาเปลี่ยนเป็น Wee Johnny Hayes & Bluecats จนมารู้จักกับดีเจวิทยุ Bill Gates ผ่านการชักนำของ Bill Goode (ที่เห็นพวกเขาแสดงที่ Speedway Circuit เมืองบริสเบน) Gates ตัดสินใจเปลี่ยนชื่อพวกเขาเป็น บีจีย์ส ซึ่งคิดขึ้นจากการนำชื่อย่อของเขาและของ Goode -มารวมกัน- ดังนั้นจึงไม่ได้ตั้งจำเพาะเจาะจงหมายถึง "Brothers Gibb"ตามความเข้าใจกันส่วนใหญ่
ในปี 2503 บีจีย์ส ได้ไปออกรายการแสดงโทรทัศน์และในอีกไม่กี่ปีถัดมาเริ่มร้องเพลงประจำที่รีสอร์ทบนชายฝั่งรัฐควีนส์แลนด์ Barry ดึงดูดความสนใจของดาราชาวออสเตรเลียที่ชื่อ Col Joye สำหรับการแต่งเพลงของเขาและ Joye ช่วยเขาให้ได้ข้อตกลงกับ Festival Records ในปี 2506 ภายใต้ชื่อวง "บีจีย์ส" ทั้งสามได้ออกซิงเกิ้ลสองหรือสามชุดปี และ Barry เองยังแต่งเพลงเพิ่มเติมให้ศิลปินอื่น ๆ ของออสเตรเลีย
เพลง "Wine and Women" ได้รับความนิยมบ้าง ในปี 2508 ซึ่งนำไปสู่การเิปิดตัวอัลบั้มเต็มชุดแรกของเขาคือ The Bee Gees Sing and Play 14 Barry Gibb Songs ปลายปีต่อมา พี่น้องทั้งสามตัดสินใจที่จะย้ายกลับไปเกาะอังกฤษ ในขณะล่องทะเลอยู่ในราวมกราคมต้นปี พวกเขาได้ยินข่าวว่า "Spicks and Specks" ขึ้นสู่อันดับหนึ่ง และ ในตุลาคม ปี 2506 ก็ได้รับรางวัลซิงเกิ้ลยอดเยี่ยมแห่งปีจากกลุ่ม "Go-Set" หนังสือพิมพ์ทางด้านเพลงของออสเตรเลียที่ทรงอิทธิพลและได้รับความนิยมอย่างมาก
ชื่อเสียงในต่างประเทศ
ก่อนจากออสเตรเลียมุ่งสู่ประเทศอังกฤษ Hugh Gibb ผู้เป็นบิดาได้ส่งเทป demo ไปให้ Brian Epstein ผู้ซึ่งเป็นทั้งผู้อำนวยการบริษัทจำหน่ายและเผยแพร่งานเพลงสู่ตลาดของอังกฤษ "NEMS" และผู้จัดการของ "The Beatles" ซึ่งได้ส่งต่อไปให้ "Robert Stigwood" ผู้ซึ่งเพิ่งจะร่วมงานที่บริษัทได้ไม่นาน หลังจากถูกเรียกไปคัดตัวกับ Robert ในเดือนกุมภาพันธ์ 2510 บีจีย์สก็ได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลงนี้เป็นเวลา 5 ปีได้สำเร็จ โดยบริษัท "Polydor Records" ที่สหราชอาณาจักรเป็นผู้บันทึกแผ่น และบริษัท "ATCO Records" เป็นผู้จัดจำหน่ายในตลาดที่สหรัฐ ."Robert Stigwood" ได้เริ่มรณรงค์ส่งเสริมการจัดจำหน่ายอย่างรวดเร็วในการทำการตลาดต่างประเทศ
Robert ถึงกับกล่าวว่า บีจีย์สเป็นอัจฉรียภาพใหม่ของปี 2510 เลยทีเดียว และเริ่มทำการเทียบชั้นกับวง The Beatles ทันที อัลบั้มที่สองที่ออกจำหน่ายยังตลาดอังกฤษที่ชื่อ "New York Mining Disaster 1941 เริ่มออกเปิดตามสถานีวิทยุต่างๆ โดยแผ่นมีแต่ชื่อเพลงแสดงเท่านั้น ทำให้ดีเจของสถานีวิทยุบางคนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นบันทึกเพลงใหม่ของวง The Beatles จึงโหมกระหน่ำวนเวียนเปิดบ่อยครั้ง จนทำให้เพลงไต่ขึ้นอันดับอย่างรวดเร็วขึ้นสู่อันดับที่ 20 ทั้งในสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา และนั่นเองที่ทำให้เพลงซิงเกิ้ลที่สองของพวกเขา "To Love Somebody" จึงไม่ต้องใช้วิถีทางทางการตลาดใดๆในการส่งเสริมมากนัก ในการทำให้ขึ้นสู่อันดับหนึ่งในยี่สิบได้เช่นนั้นอีกครั้ง เพลง "To Love Somebody" ซึ่งแต่งโดย "Otis Redding" เป็นเพลงแนว Ballad Soul ขับร้องโดย Barry ถือได้ว่าเป็นต้นแบบมาตรฐานนักร้องขอของเพลงพ็อพในเวลาต่อมา รวมถึง Gram Parsons, Rod Stewart, Janis Joplin, The Animals, Nina Simone และ Michael Bolton เพลงซิงเกิ้ลในลำดับต่อมา "Holiday" เปิดตลาดในสหรัฐ และขึ้นสูงสุดถึงอันดับที่ 16 ในแง่ของอัลบั้มทั้งแผ่นของพวกเขา อยู่อันดับที่ 7 และ 8 ของสหรัฐและอังกฤษ ตามลำดับ
วงซึ่งประกอบด้วย Barry ในตำแหน่ง กีตาร์รอง Maurice มือเบส Vince Melouney มือกีตาร์นำ และ Colin Petersen มือกลอง นั้นเมื่อประสบความสำเร็จ ก็เริ่มทำงานเพลงชิ้นต่อไปทันทีในปลายปีนั้น อัลบั้ม "Horizontal" ประสบความสำเร็จมากกว่าอัลบั้มแรก สามารถขึ้นสู่อันดับหนึ่งในอังกฤษ ด้วยเพลงซิงเกิ้ล "Masachusetts" อันดับ 11 ในสหรัฐ และซิงเกิ้ลเพลง "World" อยู่ในอันดับ 7 ของอังกฤษ เห็นชัดว่ากลิ่นอายของแนวเพลง Rock มีมากกว่าชิ้นงานแรก ถึงแม้ว่าแนวดั้งเดิมในท่วงทำนองเพลง ballad นั้นจะยังคงโดดเด่นอยู่มากดังเช่นในเพลง "And the Sun will Shine" และ "Really and Sincerely" อัลบั้มนี้ในที่สุดขึ้นถึงอันดับที่ 12 และ 16 สำหรับอันดับความนิยมของสหรัฐและอังกฤษตามลำดับ
บีจีย์สไปเยือนสหรัฐเพื่อเปิดการแสดงสดและออกรายการโทรทัศน์ในรายการ "Ed Sullivan Show" และ "Laugh in"เพลงซิงเกิ้ลที่ออกมาสองชุดในช่วงต้นปี 2511คือ "Words" (อันดับที่ 15 และ 8 ของสหรัฐและสหราชอาณาจักร ตามลำดับ) และ "Jumbo" ซึ่งเพลงซิงเกิ้ลชุดหลังนี้ถือได้ว่าประสบความสำเร็จน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์เพลงของบีจีย์ส ตามติดมาด้วยซิงเกิ้ล "I've Gotta Get a Message to You" (อันดับที่ 8 และ 1 ของสหรัฐและสหราชอาณาจักร ตามลำดับ) และเพลง "I Started a Joke" (อันดับที่ 6 ของสหรัฐ) ซึ่งตัดออกมาจากงานอัลบั้มชิ้นที่สามของวงที่ชื่อ "Idea" และถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งอัลบั้มยอดฮิตในสหรัฐและสหราชอาณาจักร (อันดับที่ 17 และ 4 ตามลำดับ)
หลังจากตระเวนแสดงดนตรีและออกรายการโทรทัศน์เพื่อส่งเสริมยอดจำหน่ายอัลบั้มบ้างแล้ว "Vince Melouney" สมาชิกวงคนหนึ่งตัดสินใจแยกตัวออกไปทำงานดนตรีในแนวทางของตนเอง Vince เองระหว่างที่อยู่ร่วมกับวง The Bee Gees ได้ช่วยแต่งเพลงหนึ่งที่ชื่อ "Such a Shame" ซึ่งเป็นเพลงเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้แต่งโดยพี่น้องตระกูล "Gibb"
รอยร้าวภายในวงเริ่มส่อเค้าให้เห็นในปี 2512 เมื่อ "Robin" เริ่มรู้สึกว่า "Stigwood" ให้ความสำคัญกับ "Barry" มากกว่าคนอื่นๆ ทันทีที่อัลบั้มถัดไปของพวกเขาเปิดตัว ในชื่อ "Odessa" และนักวิจารณ์เพลงต่างลง ความเห็นกันว่าเป็นชิ้นงานที่ดีที่สุดแห่งยุคเลยก็ว่าได้ ด้วยเพลง "Marley Purt Drive", Give Your Best", "Melody Fair" และ "First of May" ตัวของ "Robin" มีความเห็นขัดแย้งในเพลงๆหนึ่งที่เขาอยากจะให้อยู่ในหน้า A จึงได้ตัดสินใจลาออกจากวงไปเป็นนักร้องเดี่ยว
"Robin" ประสบความสำเร็จในตลาดยุโรป ส่วน "Barry" และ "Maurice" ยังคงร้องเพลงในนามของ the Bee Gees ต่อไป มีบางช่วงที่พวกเขาเอาน้องสาว "Lesley" มาร่วมการแสดงดนตรีบนเวทีด้วย
ผลงานในระยะแรกๆ รวมไปถึงเพลงที่เคยติดตลาดในออสเตรเลียมาก่อน ถูกนำมารวบรวมใหม่ ในขณะเมื่อ "Robin" แยกตัวออกไปนั้น สมาชิกที่เหลือยังคงออกอัลบั้มใหม่ใช้ชื่อว่า "Cucumber Castle" มีการใช้รายการพิเศษทางโทรทัศน์เพื่อช่วยส่งเสริมการเปิดตัวอัลบั้ม ในปี 2514 และนำออกอากาศที่สถานี BBC
ในยามนั้นมือกลองของวงคือ "Colin Petersen" ถูกไล่ออก ทำให้รายการแสดงพิเศษที่จัดเตรียมไว้ออกอากาศและมีเขาร่วมแสดงด้วยนั้นจำเป็นต้องถูกตัดออกไปบางส่วน ซิงเกิ้ลเพลงเปิดตัว "Don't Forget to Remember" ไดัรับการตอบรับด้วยดีในสหราชอาณาจักร ขึ้นสูงสุดถึงอันดับที่ 2 ขณะที่สหรัฐกลับไม่ค่อยดีสักเท่าไร ทำได้เพียงแค่อันดับที่ 73 เท่านั้น
เพลงซิงเกิ้ล "I.O.I.O" และ "If I Only Had My Mind on Something Else" ออกมาได้ไม่นาน ทั้ง ูBarry และ Maurice ก็เริ่มทยอยชิมลางออกงานเพลงเดี่ยวของแต่คนกันมาบ้างแล้ว ดูราวกับว่าเดอะบีจีย์สใกล้ถึงกาลอวสานเสียแล้วกระมัง
"Barry" นั้นได้ไปทำเพลงเดี่ยวของเขา แต่ก็ไม่ได้นำออกจำหน่ายอย่างเป็นทางการ ส่วน "Maurice" มีงานเพลงเดี่ยวและงานแสดงบ้างประปราย
ยุค 2513 ปีถัดมา พี่น้องทั้งสามได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง ผลงานในชุดนี้มีแนวเพลงที่เริ่มเปลี่ยนทิศทางที่เนื้อหาของเพลงเจือไปด้วยความเศร้าและความผิดหวัง กลัดกลุ้ม ซึ่งไม่ประสบความสำเร็จในสหราชอาณาจักรเลย แต่ในสหรัฐนั้น การณ์กลับเป็นตรงกันข้าม เพลงของพวกเขาได้รับความนิยม อย่างเช่น "Lonely Days" และ "How Can You Mend My Broken Heart" (ขึ้นถึงอันดับ 1)
2 ปีให้หลัง เพลงเดี่ยว "My World" และ "Run to Me" โดยเฉพาะเพลงหลังสามารถผงาดเข้าตลาดสหราชอาณาจักรได้อีกครั้ง หลังจากห่างหายไปกว่า 3 ปี
ปี 2516 เป็นปีแห่งความเงียบงันของบีจีย์ส อันดับเพลงแทบจะหลุดไปจากชาร์ตหนึ่งในร้อยอันดับยอดนิยมเลยทีเดียว ไม่ว่จะเป็น อัลบั้ม "Life in a Tin Can" ในสังกัดค่าย "RSO Records" และเพลงตัดเป็นซิงเกิ้ล "Saw a New Morning" ยอดจำหน่ายตกต่ำ รวมทั้งอันดับเพลงก็ขึ้นไปไม่ได้ไกล หรือ "Best of Bee Gees, Volume 2" เช่นเดียวกัน
เป็นเหตุให้ "Ahmet Ertegün" หัวหน้าในค่ายสังกัด "Atlantic Records" แนะนำให้ Stigwood นำวงไปร่วมทำงานกับผู้จัดการดนตรีแนวโซลที่มีชื่อเสียงที่ชื่อ "Arif Mardin" จึงได้งานเพลงภายใต้ชื่ออัลบั้มว่า "Mr Natural" มีงานเพลงทั้งในแนว ballad และ R&B ซึ่งต่อแต่นี้ไป จะเป็นแนวทางเพลงของวง The Bee Gees แตก็เป็นอีกครั้งที่ผลงานเพลงไม่เป็นที่นิยม จน Mardin ต้องยุให้พวกเขาออกงานเพลงในแนวดนตรีโซล
สามศรีพี่น้อง พยายามจัดตั้งวงดนตรีเพื่องานการแสดงสดบนเวทีของพวกเขาจะได้มีคุณภาพเหมือนผลงานในห้องอัด Alan Kendall มือกีตาร์นำ จึงถูกชักชวนเข้ามาร่วมวงในปี 2514, Dennis Bryon มือกลอง และ Blue Weaver มือคีย์บอร์ด ซึ่งเป็นอดีตสมาชิกวงดนตรีแนวร็อค "Strawbs" จนมาเป็นวงดนตรี "Bee Gees" ในที่สุด "Maurice" ซึ่งเล่นทั้งเปียโน กีตาร์ ออร์แกน เบสกีตาร์ คีย์บอร์ตไฟฟ้า หรือเครื่องดนตรีแปลกอย่างอื่น เช่น แมนโดลิน และ Moog เป็นต้น จึงผันตัวเองมาร้องเพลงเสียงทุ้มประสานเสียงแทน
จากคำแนะนำของ "Eric Clapton" ที่ให้พวกเขาย้ายมาอยู่ในไมอามี่ รัฐฟลอริด้า ในปี 2518 และจากแรงยุของ Mardin และ Stigwood ที่ให้พวกเขาทำเพลงจังหวะสนุกแบบ Disco ได้สำเร็จ เพลง "Jive Talkin'" (อันดับ 1 เป็นครั้งที่ 2) และ "Nights on Broadway" นี่เองเป็นที่มาที่ทำให้ Barry ประสบความสำเร็จในการร้องเพลงประสานเสียงในแบบเสียงสูงผิดธรรมชาติ falsetto ตามคำแนะนำของ Mardin นั่นเอง ทั้งวงชอบแนวเพลงใหม่กันมาก ไม่ต่างไปจากมหาชน ซึ่งให้การตอบรับแนวเพลงของพวกเขานี้ด้วยเช่นเดียวกัน อัลบั้ม "Main Course" ขึ้นสู่อันดับยอดนิยมทันที และยังเป็นชุดแรกที่อยู่ในอันดับเพลงแนว R&B อีกด้วย
ต่อมา เมื่อมีเหตุอันทำให้ Mardin ไม่ได้ทำงานให้พวกเขาได้อีกต่อไปแล้ว ทั้ง Albhy Galuten และ Karl Richardson ซึ่งช่วยงาน Mardin สำหรับวง จึงถูกขอให้ทำงานสานต่อให้กับวงต่อจากนี้
ขอขอบคุณวิกิพิเดีย ในด้านข้อมูล >> โปรดติดตาม ยังมีต่อ
No comments:
Post a Comment