เป็นบุตรีของบิดาชาวอังกฤษ เลสลี่ย์ นอร์แมน คลาร์ค และมารดาเชื้อสายเวลช นอริส (นามสกุลก่อนสมรส ฟิลลิปส) ซึ่งทั้งคู่เป็นพยาบาลประจำโรงพยาบาลลอง โกรฟ ใน Epsom, Surrey บนเกาะอังกฤษ ต่อมาเข้ารับพิธีเป็นคริสต์ศาสนิกชนในชื่อ เพทชัวล่า แซลลี่ โอลเวน คลาร์ค บิดาของเธอคิดชื่อแรกของเธอ โดยบอกล้อเลียนว่ามาจากชื่อแฟนเก่าของเขาเองสองคนที่ชื่อ Pet และ Ulla
เมื่อยังเด็ก ร้องเพลงประจำคณะโบสถ์ และเริ่มฉายแววแห่งพรสวรรค์ในวงการมายาให้เห็น โดยเลียนแบบดาราดังให้ครอบครัวและเพื่อนๆได้ชมอย่างสนุกสนาน บิดาจึงชักนำเธอสู่โลกละคร เมื่อครั้งไปชมการแสดงของ Flora Robson นำแสดงในบทบาท Mary Tudor เมื่อตอนเธออายุได้ 6 ขวบ ซึ่งเธอย้อนระลึกเล่าให้ฟังในภายหลังว่านั่นทำให้เธอ "ตัดสินใจว่าตั้งแต่นี้ต่อไปเธอจะต้องเป็นนักแสดงให้ได้ เธอต้องเป็นเหมือนอิงกริด เบิร์กแมน มากกว่าอะไรทั้งหมดในโลกนี้"
ในเดือนตุลาคม ปี พ.ศ. 2485 บิดาพาเธอไปที่สถานีวิทยุบีบีซี เพื่อที่จะส่งข้อความไปหาคุณลุงที่ประจำอยู่สถานีโพ้นทะเล ในระหว่างการโจมตีทางอากาศ ผู้ผลิตสถานีต้องการหาใครสักคนที่หยุดผู้ชมที่อึงขนึงด้วยความกระวนกระวายใจอยู่ ซึ่งเธออาสาเขาขึ้นไปแสดง "Mighty Lak a Rose" ตรึงผู้ชมให้กลับมาสนใจเธอบนเวทีได้
ต่อมาเธอได้ไปแสดงซ้ำอีกหลายครั้ง มีการออกอากาศเป็นตอนต่อเนื่องอีก 500 โปรแกรม ให้ความบันเทิงเพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้เหล่าทหารหาญในกองทัพอังกฤษ นอกจากงานที่สถานีวิทยุแล้ว เธอยังเดินสายร้องเพลงร่วมกับเพื่อนในสมัยเด็กด้วยกัน คือ จูลี่ แอนดรูส์ จนได้รับการขนานนามว่าเป็น หนูน้อยเชอร์ลี่ย์ เทมเปิลแห่งอังกฤษ และเปรียบเสมือนตุ๊กตาเครื่องรางนำโชคของเหล่าทหาร ซึ่งจะแปะรูปของเธอไว้บนรถถังเพื่อให้โชคดีในชัยชนะเมื่อออกรบ
แม้ว่าละครส่วนใหญ่ที่เธอแสดงในสหราชอาณาจักรในทศวรรษ 2483 - 2493 จะเป็นเพียงหนังในระดับรอง แต่เธอก็ยังมีโอกาสได้ร่วมงานดีกับนักแสดงชายที่ชื่อแอนโธนี่ นิวลี่ย์ในเรื่อง "Vice Versa" ซึ่งกำกับโดยปีเตอร์ อุสตินอฟและอเลค กินเนส ในเรื่อง The Card
ในปี 2488 เธอได้แสดงละครตลกชวนหัวทางวิทยุเรื่อง Radio Run จนได้รับฉายาว่าดาวตลกครื้นเครงแห่งวิทยุ
เข้าสู่วงการโทรทัศน์ด้วยรายการวาไรตี้เรื่อง Cabaret Caroons ของสถานีบีบีซี อันนำไปสู่การเซ็นสัญญาแสดงละครชุดภาคบ่ายของเธอเอง เรื่อง Petula Clark ตามมาด้วยเรื่องที่สอง Pet's Parlour และ This is Petula Clark (2509-10) และ The Sound of Petula Clark (2515-7) ในอีกหลายปีต่อมา
ในระยะเวลาใกล้เคียงกันกับที่เธอเข้าวงการแสดง ในปี 2491 เธอได้เปิดตัวเพลง "Put Your Shoes On, Lucy" สังกัดอีเอ็มไอ ต้นสังกัดอีเอ็มไอ และเด็คค่า ต่างก็ไม่สามารถเหนี่ยวรั้งให้เธอเซ็นสััญญาทำเพลงที่ซึ่งมีในระยะยาวได้ เนื่องจากบิดาของเธอมีความปรารถนาอันแรงกล้าส่วนตัวเป็นทุนเดิมอันเกิดจากบุพการีของเขาเองในเรื่องนี้ จึงเข้าร่วมทีมกับ Alan A Freeman เปิดบริษัทบันทึกเพลงที่ชื่อ Polygon Records เพื่อช่วยเหลืออำนวยการเรื่องอาชีพร้องเพลงของเธอ จนกระทั่งทำให้เธอมีเพลงที่ได้รับความนิยมอยู่เป็นจำนวนมากในสหราชอาณาจักร ในช่วงทศวรรษ ปี 2493 รวมไปถึงเพลง "The Little Shoemaker" (2497) "Majorca" (2498), "Suddenly There's a Valley" และ "With All My Heart" (2499) แม้ว่าในเวลาเดียวกันนั้นเธอเปิดตัวเพลงซิงเกิ้ลจำนวนหนึ่งแล้วที่สหรัฐ ในช่วงต้นปี 2494 (เพลงแรกเลยคือเพลง "Tell me Truly" และเพลง "Song of Little Mermaid"
ปี 2498 เพทชัวล่ามีโอกาสรู้จักชอบพอกับ Joe "Mr Piano" Henderson ทำให้มีการคาดการณ์กันว่าทั้งคู่ได้วางแผนที่จะแต่งงานกันเป็นแน่แท้ แต่ว่าเมื่ออยู่ท่ามกลางแสงสีอันเจิดจ้าในที่สาธารณะที่นับวันมีแต่จะเพิ่มมากขึ้นและการมีชื่อเสียงที่ดีวันดีคืนเรี่อยมาของเธอ (เพทชัวล่าซึ่งในตอนนั้นเธอเริ่มเข้าสู่ตลาดฝรั่งเศสแล้ว) Henderson จึงตัดสินใจที่จะยุติความสัมพันธ์ แม้มีรายงานว่าเขาไม่ต้องการที่จะสิ้นสุดความเป็น "นาย Petula Clark" ก็ตาม ทว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาในด้านการทำงานร่วมกันยังมีต่อเนื่องมาจนกระทั่งสองสามปีถัดมาในงานชุดทางวิทยุของบีบีซี เรื่อง "Pet and Mr. Piano" ซึ่งถือเป็นครั้งสุดท้ายที่พวกเขาทำงานด้วยกัน ถึงแม้ว่าทั้งคู่จะยังคงคบหากันอยู่ฉันท์มิตร และในปี 2505 เขาแต่งเพลงหนึ่งขึ้นมาที่เกี่ยวกับการเลิกรานี้ ในชื่อเพลงว่า "There's Nothing More to Say" ให้กับเพทชัวล่าเพื่อบรรจุลงในอัลบั้มที่ใช้ชื่อว่า In Other Words ของเธอ
เมื่อปลายปี 2498 ค่ายเพลง Polygon Records ถูกขายให้กับ Nixa Records ซึ่งต่อมานับเป็นส่วนหนึ่งของ Pye Records อันนำไปสู่การก่อตั้งอาณาจักร Pye Nixa Records (ต่อมาเรียกสั้นๆเพียง Pye) ทำให้เพทชัวล่าย้ายมาอยู่ภายใต้ร่มเงาของ Pye ด้วย เธอจึงมีผลงานในสหราชอาณาจักรกับค่ายเพลงนี้ตั้งแต่ปลายทศวรรษที่ 2493 ตลอดต่อเนื่องไปจนถึงช่วงต้นทศวรรษ 2513
ชื่อเสียงในต่างประเทศ
ในปี 2507 เพทชัวล่าได้รับเชิญไปปรากฏตัวที่ Olympia ปารีส ทั้งๆที่ขณะนั้นเธอยังมีความขลาดกลัวและเป็นหวัดหงอมแงม เธอก็ได้รับการต้อนรับชื่นชมอย่างดี วันต่อมาเธอได้รับเชิญไปสำนักงานของ Vogue Records เพื่อหารือเกี่ยวกับการทำสัญญา ที่นั่นเธอได้พบกับนักหนังสือพิมพ์ที่ชื่อว่า Claude Wolff ผู้ซึ่งเธอต้องชะตาเขาในทันทีและเมื่อเขาแจ้งเธอว่าเขาจะทำงานร่วมกับเธอหากว่าเธอเซ็นสัญญากับค่ายเพลงนี้ เธอตอบตกลงทันที งานเพลงของเธอที่ออกมาครั้งแรกในฝรั่งเศสประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามและในปี 2503 เธอจึงเริ่มต้นเดินสายทางดนตรีที่ประเทศฝรั่งเศส และ เบลเยี่ยม ร่วม Sacha Distel ผู้ที่ยังคงเป็นเพื่อนสนิท จนเขาตายจากไปในปี 2547 เธอค่อยย่างกรายผลงานของเธอเข้าไปสู่ทวีป ไม่ว่าจะเป็นเยอรมัน, ฝรั่งเศส, อิตาลีและสเปน จนพัฒนาตัวเองเป็นนักแสดงพูดได้หลายภาษา
ชีวิตสมรส
ในเดือนมิถุนายน 2504 เพทชัวล่าแต่งงานกับ Claude Wolff พิธีครั้งแรกจัดในกรุงปารีสจากนั้นจึงตามมาจัดในพิธีกรรมทางศาสนายังอังกฤษบ้านของเธอ และด้วยความที่เธอนั้นอยากจะหลบหนีความเคร่งครัดในภาพลักษณ์ในความเป็นดาราเด็กจากประชาชนชาวอังกฤษและความกังวลที่จะหลบหนีอิทธิพลของพ่อ เธอจึงตัดสินใจย้ายไปอยู่ฝรั่งเศส ที่ซึ่งเธอและ Wolff มีลูกสาวสองคนคือ Barbara Michelle และ Katherine Natalie (Patrick ลูกชายของพวกเขาเกิดในปี 2515) ในขณะที่เพทชัวล่ามุ่งเน้นงานใหม่ของเธอในประเทศฝรั่งเศสเธอก็ยังคงประสบความสำเร็จในสหราชอาณาจักรจนถึงช่วงต้นทศวรรษ 2503 เพลงของเธอในปี 2504 ของ "Sailor" ขึ้นสู่อันดับหนึ่งของเพลงยอดนิยมในสหราชอาณาจักรได้เป็นครั้งแรก ติดตามมาด้วยเพลง "Romeo" และ "My Friend the Sea" ซึ่งติดอันดับท็อปเท็นในอังกฤษภายในปีเดียวกันนั้น ส่วนในฝรั่งเศส เพลง "Ya Ya Twist" (เพลงที่ดัดแปลงเป็นภาษาฝรั่งเศสมาจากเพลงที่มีท่วงทำนอง rhythm and blues ของ Lee Dorsey ที่ชื่อว่า "Ya Ya"และจังหวะการเต้นแบบทวิสต์) และเพลง "Chariot" (ต้นฉบับคือเพลง "I Will Follow Him") ได้รับความนิยมมากในปี 2505 ในขณะที่ในเยอรมันและอิตาลี ทั้งเพลงที่เป็นภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศสของเธอก็ขึ้นอันดับสู่ชาร์ตเช่นกัน
ในปี 2506 ต่อเนื่องมาอีกหนึ่งปี งานเพลงของเพทชัวล่าเริ่มก่อตั้งเป็นรากฐานมั่นคงมากขึ้นที่ประเทศอังกฤษ Tony Hatch นักแต่งเพลงเรียบเรียงเสียงประสาน ผู้ซึ่งให้ความช่วยเหลือเธอเกี่ยวกับงานเพลงที่ทำกับค่ายเพลงทั้งกับ Vogue Records ในประเทศฝรั่งเศสและ Pye Records ในสหราชอาณาจักร ได้บินไปหาเธอที่บ้านพักของเธอในกรุงปารีสพร้อมกับวัตถุดิบที่จะทำเพลงใหม่ด้วยความหวังว่าเธอจะสนใจ แต่เธอกลับไม่เลยสักนิด ด้วยความผิดหวัง เขาพยายามรบเร้าโดยการเล่นดนตรีบางคอร์ดของเพลงที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ และแต่งขึ้นจากแรงบันดาลใจจากการเดินทางไป New York City ครั้งแรกของเขาเมื่อเร็ว ๆ นี้ให้เธอฟัง โดยบอกว่าเขาจะเอาเพลงนี้ไปเสนอให้กับวง The Drifters เมื่อได้ยินทำนองของเพลง เพทชัวล่าบอกเขาว่าหากเขาสามารถแต่งเนื้อเพลงดีเท่ากับทำนองเพลงนี้แล้วละก็ เธอยินดีที่จะไปร้องเพลงอัดเสียงนี้เป็นเพลงซิงเกิ้ลใหม่ นี่เองจึงเป็นที่มาของเพลง "Downtown"
ทั้งเพทชัวล่าและ Hatch ต่างก็ไม่มีโอกาสล่วงรู้ถึงผลลัพธ์ที่บังเกิดกับเพลง "Downtown" ที่ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในทันทีที่ออกอากาศ เพลง "Downtown" ออกวางจำหน่ายในสี่ภาษาที่แตกต่างกันในปลายปี 2507 ประสบความสำเร็จทั้งในสหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส (ทั้งแบบฉบับภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศส) เนเธอร์แลนด์ เยอรมัน ออสเตรเลีย อิตาลี และยังข้ามฟากทวีปรวมไปถึง โรดีเซีย ญี่ปุ่นและอินเดีย ในระหว่างการเยือนกรุงลอนดอน Joe Smith ผู้บริหารของ Warner Bros ได้ยินเพลงนี้จึงตัดสินใจซื้อลิขสิทธิเพื่อจำหน่ายในประเทศสหรัฐอเมริกา
เพลง "Downtown" สามารถขึ้นไปสู่อันดับที่หนึ่ง ในชาร์ตเพลงยอดนิยมของสหรัฐได้ในเดือนมกราคมปี 2508 และจำหน่ายได้มากกว่าสามล้านแผ่นในสหรัฐ นับเป็นเพลงที่สิบห้าที่สามารถขึ้นสู่ 40 อันดับเพลงยอดนิยมของสหรัฐได้ รวมถึงเพลง "I Know a Place", "My Love","A Sign of the Times", "I Couldn't Live Without Your Love","This is My Song" (เพลงในภาพยนตร์ของ Charlie Chaplin เรื่อง A Countess from Hong Kong) และ "Don't Sleep in the Subway"
สมาคมอุตสาหกรรมบันทึกเทปของสหรัฐยกย่องเชิดชูเกียรติเธอด้วย รางวัลแกรมมี่ยอดเยี่ยมในด้านสำหรับเพลงร็อคแอนด์โรลสำหรับเพลง "Downtown" ในปี 2507 และนักร้องหญิงยอดเยี่ยมร่วมสมัยสำหรับเพลง "I Know a Place" ในปี 2508 จนกระทั่งมาถึงปี 2546 เพลง "Downtown" ได้รับการจารึกอยู่ในทำเนียบหรือหอแห่งเกียรติยศของแกรมมี่
จากความสำเร็จของเธอ ทำให้รายการทางโทรทัศน์ของสหรัฐหลายรายการเชิญเธอมาปรากฏตัวในรายการ ดังเช่น รายการโชว์ของ Ed Sullivan และ Dean แขกรับเชิญในรายการเพลงชุด Hullabaloo และรายการ เพลง, รายการ The Kraft Music Hall, รายการ The Hollywood Palace รวมไปถึงรายการพิเศษ "The Best on Record" และ รายการ Rodgers and Hart
ปี 2511 รายการ TV-NBC เชิญเธอมาออกรายการโทรทัศน์ที่สหรัฐในฐานะผู้จัด ซึ่งรายการนี้ได้เกิดเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่เธอเองไม่ได้ตั้งใจให้เป็นเช่นนั้น นั่นก็คือ ในช่วงที่เธอร้องเพลงคู่ร่วมกับแขกรับเชิญในรายการ "Harry Belafonte" ด้วยเพลง "On the Path of Glory" ซึ่งเป็นเพลงแนวต่อต้านสงครามที่เธอแต่งขึ้นเอง เธอบังเอิญยึดแขนของเขาไว้ การทำเช่นนี้ทำให้ตัวแทนของบริษัทไครสเลอร์ซึ่งเป็นสปอนเซอร์ของรายการเกิดอาการตื่นตระหนก ด้วยความกลัวว่า ผู้ชมอเมริกันที่เป็นชาวใต้อาจสำคัญผิดคิดว่าเป็นการสื่อถึงการเหยียดผิวเหยียดชนชั้น ตัวแทนจึงยืนกรานที่จะให้ถ่ายทำใหม่ ด้วยการแยกให้เพทชัวล่าและแขกรับเชิญ Belafonte ยืนห่างจากกัน ฺ แต่เพทชัวล่าและผู้อำนวยการบริหารด้านการผลิต ซึ่งก็คือสามีเธอเอง Wolff ปฏิเสธที่จะทำตาม และทำลายฟิล์มของฉากซ่อมแซมที่ถ่ายทำใหม่ทั้งหมด จากนั้นจึงนำโปรแกรมรายการที่ถ่ายทำเสร็จแล้วไปให้ NBC ซึ่งก็ยังคงไม่ได้แก้ไขอะไร
รายการออกอากาศเมื่อวันที่ 8 เมษายน ปี 2511 รายการได้รับเรตติ้งจากผู้ชมสูงพร้อมกับกระแสวิพาษณ์วิจารณ์ตามมามากมาย (ในวาระครบรอบ 40 ปีของการออกอากาศ ทั้งเพทชัวล่าและ Wolff สามีของเธอเป็นแขกรับเชิญร่วมพูดคุยย้อนระลึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้นและผลกระทบที่ตามมากับเขาทั้งคู่ในวันที่ 22 กันยายน 2551 ณ เวทีเสวนาสื่อ The Paley ใน Manhattan มีการนำไปออกอากาศทางโทรทัศน์ตามมาภายหลัง)
เพทชัวล่ายังเป็นผู้จัดรายการอื่นๆตามมาอีกสองรายการ รายการหนึ่งร่วมกับ NBC และอีกรายการทำกับ ABC นอกนี้ ยังมีรายการซีรี่ย์ชุดประจำสัปดาห์ ซึ่งเธอปฏิเสธไปด้วยเห็นว่าลูกๆของเธอไม่อยากจากบ้านไปอยู่ที่ LA
เพทชัวล่ากลับมารื้อฟื้นงานด้านการแสดงภาพยนตร์ของเธออีกครั้งในช่วงปลายทศวรรษ ของปี 2503 ด้วยการนำแสดงในภาพยนตร์เรื่อง "Finian's Rainbow (2511) ร่วมกับ Fred Astaire ส่งผลให้เธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลดาราลูกโลกทองคำนำแสดงหญิงยอดเยี่ยม ในสาขาภาพยนตร์เพลงหรือภาพยนตร์ตลก เธอสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของเธออีกครั้งด้วยการแสดงเป็นคู่เต้นในฉากตอนสุดท้ายร่วมเฟรดส่วนอีกเรื่องหนึ่งในปีถัดมาแสดงร่วมกับ Peter O'Toole ในเรื่อง "Goodbye, Mr. Chips ภาพยนตร์ที่ประยุกต์เป็นภาพยนตร์เพลงจากวรรณกรรมเรื่องสั้นคลาสสิคของ James Hilton ผลงานชิ้นสุดท้ายที่ทำร่วมกับผู้ผลิตทางฝั่งสหราชอาณาจักร ก็คือเรื่อง Never Never Land ซึ่งนำออกฉายในปี 2523
ต่อมาในภายหลังผลงานด้านร้องเพลงของเธอในสหรัฐเริ่มถดถอยอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าเธอจะยังคงทำงานด้านเพลงต่อเนื่องและปรากฏตัวในรายการต่างๆทางโทรทัศน์อยู่บ้างจนเข้าสู่ยุคปี 2513 กลางยุค 2513 เธอเริ่มลดงานต่างๆของเธอลงเพื่ออุทิศเวลาให้กับครอบครัวของเธอมากขึ้น
ณ วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2519 เธอได้มีโอกาสครั้งสำคัญในชีวิต แสดงถวายราชินี Elizabeth ในวโรกาสแห่งการเฉลิมฉลองการเสด็จขึ้นครองราชย์ครบ 25 ปี ในรายการ A Jubilee of Music ของสถานี BBC1
เพทชัวล่า ยังสนใจส่งเสริมและสนับสนุนคนรุ่นใหม่ที่มีพรสวรรค์ เธอค้นพบ Michel Colombier ซึ่งเป็นทั้งนักแต่งและอะเร้นจ์เพลง และชักนำให้เข้ามาช่วยเธอในฐานะผู้อำนวยการด้านงานเพลง และยังพาเขาไปรู้จักกับ Herb Alpert เจ้าของค่ายเพลง A&M Record. (ผลงานของเขาที่มีชื่อนั้น อาจกล่าวได้ว่ามี งานแต่งเพลงชื่อ Purple Rain ร่วมกับ Prince ซึ่งใช้เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์อเมริกันหลายเรื่อง)
Richard Carpenter แห่งวง The Carpenters ยกย่องเธอที่ชักนำทั้ง Michel และน้องสาวของเขา Karen Carpenter ให้ได้มีโอกาสรู้จักกับ Alpert ในคืนรอบปฐมทัศน์ของภาพยนตร์เรื่อง Goodbye, Mr. Chips
ช่วงต้นยุค 2513 เพทชัวล่ายังมีผลงานเพลงที่ได้รับความนิยมอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเพลง "Melody Man" (2513); "The Song Of My Life" (2514); "I Don't Know How To Love Him" (2515), "The Wedding Song (There Is Love)" (2515) and "Loving Arms" (2517).
ห้วงปี 2503 จนกระทั่งล่วงเข้าสู่ปี 2513 เพทชัวล่ายังคงออกตระเวนงานแสดงทางดนตรีทั้งสองฟากฝั่งทวีป >> โปรดติดตามต่อ
No comments:
Post a Comment